วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กีฬา ก็เหมือนการเมือง : หากเปิดใจฟังคนรุ่นใหม่ ไทยเจริญ



สวัสดีปีครับ พี่น้องชาวไทย อีกไม่ถึงเดือน ฟุตบอลโลก 2010 ก็จะระเบิดขึ้นแล้ว และเราคนไทยทุกคนต่างมีคำถามนี้ในใจว่า หากฟุตบอลแข่งกัน 90 นาทีจบแมชท์ เหตุการณ์ความขัดแย้งในบ้านของเราละ แข่งกันกี่นาทีจบ?”

ผมคงตอบไม่ได้ และก็คงไม่มีใครตอบได้ด้วย เพราะในขณะที่ผมเขียนคอลัมน์อยู่นั้น หากความขัดแย้งหลากสีนี้เป็นเกมฟุตบอล อาจจะมีต่อเวลาพิเศษ อาจจะยืดเยื้อไปจนถึงลูกโทษ หลังผ่าน 5 คนแรกอาจยังเสมอ ต้องมาตัดสินแบบ ซัด เด้น เดธ (sudden death = ใครเผด็จศึกก่อนชนะ และ ใครพลาดปุ๊ปแพ้) หลายท่านอาจพูดว่า น่าเบื่อ” “เมื่อไหร่จะจบเสียที” “เซ็งจริงๆ ประเทศไทยผมกลับมีมุมมองที่ต่างออกไป ผมว่าความขัดแย้งครั้งนี้อาจทำให้เยาวชนคนรุ่นใหม่สนใจการเมืองมากขึ้น พวกเค้าต้องการมีส่วนร่วมในการผลักชาติไปข้างมากขึ้น หากมีการเลือกตั้งในอนาคต จำนวนของคนที่จะออกมาใช้สิทธิ์ก็น่าจะเพิ่มขึ้นด้วย หลายคนถามผมว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์บ้านเมืองในฐานะคนของสาธารณะ ผมคิดว่า นี่คือความเหมือนของกีฬา และ การเมือง ในฐานะที่เราเป็นคนเชียร์ ในฐานะที่เราเป็นคนไทย เรามีมุมมองของเราได้ เราคิดของเราได้ แต่เราต้องให้เกียรติบุคคลที่มีความรับผิดชอบโดยตรงในการจัดการ หากเราเก่งเรื่องกีฬา เป็นเซียนวางแผน ลิเวอร์พูลที่จบอันดับ 7 อย่างชอกช้ำคงจะติดต่อคุณไปทำทีม หากคุณเก่งเรื่องการเมือง สังคมก็คงเลือกคุณเป็นส.. หรือ รัฐมนตรีไปแล้ว ผมได้อ่านทวิตเตอร์ของน้องคนหนึ่งซึ่งผมเห็นว่าน่าสนใจมากกับประโยคที่ว่า ยุติ อย่างเจ็บปวด ดีกว่าความเจ็บปวด ที่ไม่มีวัน "ยุติ"

ท่านผู้อ่านครับ หลังจากผมเรียนร้องเพลงกับ ครูอ้วน ตี 10 เสร็จ ผมเห็นกระดาษแผ่นนึงน่าสนใจ;

ครู มาจาก คุรุ

คุรุ มาจาก กูรู

กูรู มาจาก กูรู้

กูรู้ ว่า กูไม่รู้

นั่นแหละคือครูที่แท้จริง เพราะถ้าหากอะไรๆกูก็รู้แล้ว อะไรกูก็รู้หมด

ชีวิตก็ไม่เรียนรู้อะไรอีก พอมันเจออะไร มันก็ตัดสินสรุปไปตามความรู้เดิมๆของมัน

มันก็ทุกข์ซ้ำซาก สร้างปัญหาด้วยความไม่รู้ แก้ปัญหาด้วยความไม่รู้

เพราะมันไม่รู้ว่าความไม่รู้ ครอบงำมันอยู่

ผมอยู่วงการทีวีจะเข้าปีที่ 5 ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพมักชี้ให้ผมเห็นว่า คนที่วิจารณ์นักกีฬา และ สังคมแรงสุดๆ คนที่คิดว่ารู้ทุกเรื่อง มีคำตอบสำหรับทุกคำถาม และ จะไม่พอใจอย่างแรงหากมีคนต้าน และดูเค้าไม่ฉลาด นั่นแหละคือคนที่รู้น้อยที่สุด ผมว่าคงดีหากเราถือคติแบบนี้ครับ แพ้ไม่ว่าถ้าเต็มที่ (สำหรับกีฬา) และ ช้าไม่ว่า ถ้าทำเพื่อชาติ” (สำหรับการเมือง) หากเราไม่พอใจการทำงานของนักการเมืองท่านใด อย่าพูดว่า เบื่อการเมืองแต่ตั้งใจวิเคราะห์ติดตามว่าใครคู่ควรกับการพาชาติของเราสู่ความสำเร็จ แล้วไปเลือก เค้าเหล่านั้น เมื่อวันเลือกตั้งมาถึง หนึ่งคะแนนเสียงของท่านมีความหมายเพราะ กว่าจะมีทะเลที่งดงาม ก็ต้องมีน้ำหลายล้านหยดเช่นกัน

สามัคคีกันครับ วันนี้ผมขอฝากรายการดีที่ 4 ปีมีครั้งเดียว และ เกิดขึ้นไม่บ่อยนักที่ ช่อง 3 กับ ช่อง 7 จะมาทำรายการร่วมกันนั่นคือ Road to World Cup (ถนนสู่บอลโลก) ผม และ คุณนิหน่า สุฐิตา จะพาท่านผู้ชมโหมโรงบอลโลกเต็มสตีม เจาะลึกข้อมูล 10 สนามบอลโลก คลิปเด็ดของซุปเปอร์สตาร์ลูกหนัง เพลงบอลโลกมันส์แต่งโดยคนไทย และ แขกรับเชิญสุดพิเศษ วันละครึ่งชั่วโมง เจอกันได้16.00 . (เริ่ม 22 พ.ค.)

พูดถึงสีสันบอลโลก นิตยสารต่างประเทศได้สร้างความฮือฮาโดย คัดนักบอลสุดฮอต ของแต่ละชาติ มาใส่ อันเดอร์แวร์ลายธงชาติต่างๆ โดยดิดีเยร์ ดร็อกบ้า (ไอวอรี่โคสท์) และ โรนัลโด้ (โปรตุเกส) ขึ้นปกซะ หลายคนมองว่าสร้างสรรค์ หลายคนมองว่าลายธงชาติไม่ควรจะนำมาอยู่บนกางเกงใน ผมเข้าใจทั้ง 2 ฝ่ายเพราะเราเกิดกันต่างยุค มีน้องๆ (ที่รักกีฬา และ รักชาติมาก เกิดแรงบันดาลใจที่เห็นนักกีฬาระดับโลก ปักธงชาติบนลิ้นรองเท้า เหมือน เดวิด เบคแฮ่ม และ แฟชั่นถ่ายแบบอย่างนี้) มาเปิดใจคุยกับผมว่าน้อยใจ อยากมีธงชาติใกล้ตัว แต่ถูกผู้ใหญ่ด่าว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง วันนี้ผมขอถ่ายทอดความรู้สึกขอเด็กรุ่นใหม่ให้ท่านผู้อ่านฟังครับ;

น้องๆเหล่านี้รักฟุตบอล และ อยากให้คนไทย (ที่เห็นปกหนังสือเล่มนี้แล้วบอกว่าไม่สมควรเอาธงไปเล่นกับกกน.) เปิดใจนิดนึง เอโต้ (ที่ 2 จากขวา) และ มุนตารี่ (ซ้ายสุด) ดาวของธงชาติ (คาแมรูน และ กาน่า) อยู่ที่เป้ากางเกง น้องๆคนไทยอยากแสดงความรักชาติแบบนี้บ้าง แต่เห็นว่าประเทศเรานั้นการแสดงออกว่ารักชาตินั้นยาก (ละเอียดอ่อน) ถ้าเป็นทีมชาติไทยถ่ายแฟชั่นแบบนี้ ก็จะมีคนบอกว่าไม่เหมาะสม แต่มองในมุมกลับกันนักบอลเหล่านี้อาจบอกว่าเค้ารักชาติ เค้าก็อยากจะมีสัญลักษณ์ของชาติอยู่ใกล้กับเค้านิดนึง ผมเห็นใจเด็กหลายๆคนครับ ผมเห็นเค้าซื้อสตั๊ดคู่หนึ่งเป็นหมื่น มีธงชาติอังกฤษติดอยู่ด้วย ผมก็ถาม ทำไมถึงเป็น อังกฤษ ชอบเบคแฮ่มเหรอ?”


น้องตอบว่า พี่ ผมอยากติดเป็นธงชาติไทยใจจะขาด แต่พ่อแม่ผมเค้าบอกว่า ถ้าเอาธงชาติไปแปะที่รองเท้า ผมอาจจะติดคุก พี่แชมป์ครับผมไปอ่านมาครับ เดวิด เบคแฮ่ม เอาธงชาติติดที่รองเท้าเค้าเพราะเค้าบอกว่าเค้าจะได้ภูมิใจในทุกๆย่างก้าวที่เค้าเดิน เค้าภูมิใจของความเป็นคนอังกฤษครับ ผมไม่ใช่ไม่รักชาตินะครับผมจ่ายคู่ละหมื่นกว่าบาท แล้วก็มีคนด่าผมว่าไม่ใช่คนอังกฤษ ดันกระแดะปักธงอังกฤษ ผมก็อยากติดธงไทยแต่ผมทำไม่ได้ ผมก็รู้สึกว่าบางครั้งเนี่ยถ้าเด็กสักคนจะรักชาติมันไม่ควรจะมีกฎเกณฑ์ที่เยอะแยะขนาดนั้น”

อันนี้ก็รับฟังกัน ผมเป็นสื่อ ผมเองก็เข้าใจทั้ง 2 ฝ่าย แต่ผมกลับมองว่ามันเป็นแฟชั่นนะครับ ถ้าเกิดว่าเสื้อนั้นมีธงชาติ สังคมส่วนใหญ่รับได้ แต่ถ้าเป็นรองเท้าเนี่ยคนไทยอาจถือว่าเป็นที่ต่ำ แต่คนต่างชาติเค้ามองว่าเท้าคือการย่างก้าวสู่ความสำเร็จ ฉะนั้นในเมื่อประเทศไทย ณ ปัจจุบันถูกมองว่าเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา หลายท่านบอกว่าเราต้องดูว่าชาติที่พัฒนา เค้าทำอะไร แล้วเราตาม ประเทศที่เค้าพัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส เค้าบอกว่าธงชาติติดตรงไหนก็ได้ ถ้าคุณรักชาติ และคุณมีเจตนาที่ดี ยังดีซะกว่าคุณมีธงอยู่เต็มหิ้งในบ้านแต่คุณโกงชาติ นักฟุตบอลที่เค้าเอาธงชาติไปปักบนรองเท้า เค้าทุ่มเทเลือดทุ่มเทเนื้อ ทุ่มร่างกายให้ชาติ หากเค้าติดธงชาติตรงรองเท้า คุณควรจะซูฮกเค้ามิใช่หรือ เพราะวีรบุรุษเหล่านี้กำลังทำประโยชน์ให้ชาติ! หลายคน หลากความคิด แต่สำหรับผม ผมคิดว่าเด็กคนนั้นน่าเห็นใจที่เค้าหน้าตาเป็นคนไทย แต่ต้องติดธงชาติอังกฤษตรงรองเท้า ผมรู้สึกว่าเด็กไทยอยากรักชาติแล้วคุณเปิดโอกาสให้เค้ารักชาติหรือเปล่า? ผมอายุ 26 ผมมีคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ ที่โตมาในยุคนึง มีเพื่อนและน้องซึ่งทันสมัยมากจากอีกยุคนึง ผมมองว่าคุณจะเอาธงชาติไปติดตรงไหนก็ได้ตราบใดที่คุณมีเจตนาดี แล้วถ้าคุณเอาไปติดตรงรองเท้าเพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ไทยก้าวไปถึงบอลโลก ผมว่าติดได้ ความรักชาติมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่การกระทำ (ที่มองถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง) มากกว่าตำแหน่งของธงครับ!



ที่มา ::: คอลัมน์ Young Sport Idol by แชมป์-พีรพล @ 106 Magazine ฉบับที่ 15 เดือน พฤษภาคม 2553



1 ความคิดเห็น:

  1. ความรักชาติอยู่ที่ใจ อยู่ที่การกระทำ"
    This is a fantastic column.

    ตอบลบ

 

hidden stats
Intel CoreI5 Laptop